การแบ่งกลุ่มภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข : แบ่งตามสาเหตุของโรคและภัยคุกคามสุขภาพออกเป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
1.การใช้อาวุธชีวภาพ (Bioterrorism emergencies) เชื้อที่อาจนำมาใช้ได้ เช่น แอนแทรกซ์ และ ไข้ทรพิษ
2.ภาวะฉุกเฉินจากสารเคมี (Chemical emergencies) ได้แก่ chlorine sarin สารที่มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาท เช่น Organophosphate
3.ภาวะฉุกเฉินทางรังสี ( Radiation emergencies) ซึ่งเป็นได้ทั้งอุบัติเหตุและการก่อการร้าย (Nuclear & Radiological accident / terrorism)
4. อุบัติเหตุกลุ่มชน ( Mass casualties) จากอุบัติภัยขนาดใหญ่ เช่น การระเบิด (Explosions / Blasts) ผิวหนังไหม้ ( Burn) และการบาดเจ็บ (Injuries)
5.ภัยจากธรรมชาติและอากาศเลวร้าย ( Natural disasters and severe wealth) เช่น วาตภัย อัคคีภัย และธรณีพิบัติภัย
6.การระบาดของโรคที่พบบ่อยในพื้นที่ และอุบัติการณ์ของโรคที่สำคัญ (Recent Outbreaks and Incidents) เช่น การระบาดของอาหารเป็นพิษ ไข้เลือดออก เลปโตสไปโรซิส และโรคติดเชื้อ อุบัติใหม่เช่น SARS และ ไข้หวัดนก
การจัดระดับความรุนแรงของสาธารณภัยในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข แบ่งได้ 4 ระดับ |
|
ความรุนแรงระดับที่ 1 : สาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วไปหรือมีขนาดเล็ก ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขในระดับอำเภอสามารถจัดการได้และควบคุมได้
ความรุนแรงระดับที่ 2 : สาธารณภัยขนาดกลาง หน่วยงานสาธารณสุขในระดับอำเภอไม่สามารถจัดการได้ต้องอาศัยการสนับสนุนความช่วยเหลือ จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในการจัดการระงับภัย
ความรุนแรงระดับที่ 3 : สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบรุนแรงกว้างขวาง หรือสาธารณภัยที่จำเป็นต้อง อาศัยผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์พิเศษ ต้องอาศัยการสนับสนุนความช่วยเหลือจากหน่วยงานหลายส่วนราชการภายในเขตจังหวัด / จังหวัดใกล้เคียง และระดับเขต ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และจัดการระงับภัยได้ ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขระดับเขต เข้าควบคุมสถานการณ์และระดมทรัพยากร จากจังหวัดใกล้เคียงภายในเขตเข้าจัดการระงับภัย และหากไม่สามารถจัดการได้ให้รายงานให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเข้าควบคุมสถานการณ์
ความรุนแรงระดับที่ 4 : สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีหรือ รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ในด้านการแพทย์และสาธารณสุขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ดำเนินการควบคุมสถานการณ์กรณีที่ได้รับมอบหมาย จากนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี
1.2.การเตรียมความพร้อม ( Preparedness) รองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเป็นระยะที่เกิดต่อเนื่องจากบรรเทาภัย เป็นขั้นตอนในการวางแผน เพื่อการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดภัยพิบัติ โดยสามารถระดมทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างทันท่วงที ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมนี้ จะช่วยคุ้มครองชีวิตและลดการเกิดหายนะ โดยการเตรียมคนให้พร้อมและสามารถตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ได้อย่างเหมาะสมมีแผนการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน มีการฝึกอบรมความรู้และทักษะในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน มีการซ้อมแผน รวมถึงการเตรียมพร้อมทรัพยากรที่จำเป็น การจัดระบบสื่อสาร ที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉิน
2.ระยะระหว่างเกิดภัย : ขั้นดำเนินการ
การตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉิน (Response) ต้องดำเนินการทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ มีผู้สั่งการในสถานที่ (Field Commander) บทบาทหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การจัดบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน การควบคุมยับยั้งการเกิดโรคและภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น ต้องจัดให้มีระบบเฝ้าระวังภายใน 5 วัน หลังเกิดภัยพิบัติ
3.ระยะหลังเกิดภัย : ระยะฟื้นฟู
การฟื้นฟูบูรณะ (Recovery) เป็นระยะสุดท้ายในการจัดวงจรการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ซึ่งต้องดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าระบบทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ หรือใกล้เคียงปกติโดยเน้นให้มีระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อและส่งมอบภารกิจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการฟื้นฟูทางด้านจิตใจของผู้ประสบภัยและครอบครัว